whiskey

มาถึงวิสกี้สูตรชากันบ้างแล้ว Firefly Sweet Tea Whiskey เป็นอีกวิสกี้ที่มีความหอมหวานตามฉบับชาอย่างแท้จริง ซึ่งจะใช้ชาจากอเมริกาเป็นตัวผลิตหลักเพียงชนิดเดียวสำหรับการทำวิสกี้โดยเฉพาะ เบียร์นอก  ซึ่ง Firefly Sweet Tea Whiskey มีความน่าสนใจมากเลยทีเดียวสำหรับคนชอบชาและตอบโจทย์สายแอล นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นตรงที่มีความหวานละมุน กลมกล่อมเมื่อดื่ม Firefly Sweet Tea Whiskey จึงเป็นวิสกี้ชาที่ดีอีกแบรนด์หนึ่งเลยก็ว่าได้ แล้ว “Firefly Sweet Tea Whiskey” มันดีต่อใจยังไงบ้าง ความน่าสนใจของวิสกี้นี้ก็คือ Firefly Sweet Tea Whiskey เวลาดื่มแทบไม่มีรสชาติของวิสกี้ออกมาเลย จึงเหมาะสำหรับคนที่ดื่มเหล้าไม่จัด เพราะ Firefly Sweet Tea Whiskey เป็นวิสกี้ที่ค่อนข้างอ่อน คนที่ไม่เคยดื่มเลยจะถูกใจ เหมือนมีไว้เพื่อหัดดื่มจริงๆ อันนี้ถือว่าตอบโจทย์อย่างมาก เพราะชาที่ทำจะเป็นชาอยู่ในเซาท์แคโรไลนา ส่วนใครที่ช่ำชองในเรื่องการดื่มพอสมควร จะรู้สึกไม่ถูกจริตนัก เพราะ Firefly Sweet Tea Whiskey ค่อนข้างหนักไปทางหวานจนคล้ายๆ ชาต้นตำรับไปนิดหน่อย แต่ถ้าดื่มไปจะมีรสชาอยู่ที่ปลายลิ้นและกลิ่นออกมาชัดเจน ทำให้การดื่มคล่องคอขึ้น

หลายคนคงได้ยินว่า “เหล้ากวางทอง” เป็นน้อง “เหล้าแม่โขง” แน่นอนว่าจัดเป็นเหล้าที่ผลิตมาหลังเหล้าแม่โขง ซึ่งเป็นเหล้าระดับตำนานและก่อตั้งมาก่อน แต่เหล้ากวางทองจะผลิตออกมาหลังๆ แม่โขง ทำให้กลุ่มลูกค้าในสมัยนั้นต่างนิยมทั้งเหล้าแม่โขงและเหล้ากวางทองควบคู่กัน นอกจากนี้ยังผลิตมาจากบริษัทเดียวกันซะด้วย จึงเป็นที่มาของ “เหล้ากวางทองเป็นน้องเหล้าแม่โขง” ในยุคนั้นนั่นเอง แต่ยุคนี้ต้องทำใจก่อนว่าเหล้ากวางทองหาซื้อยากจริงๆ เพราะเป็นวิสกี้ที่เก่าแก่อย่างมาก เลยทำให้หาในปัจจุบันยากพอสมควร อีกทั้งยังต้องดูว่าเก็บมาตั้งแต่ปีไหนด้วย จุดเด่นด้านรสชาติของ  “เหล้ากวางทอง”  ดียังไงบ้าง เหล้ากวางทองมีความหายากจริงๆ เพราะถ้าจะหาซื้อจริงๆ จะต้องเป็นคนที่สะสมเหล้ากวางทองมานาน จะมีหลายรุ่นเยอะมาก นอกจากเหล้ากวางทองมาทีหลังเหล้าแม่โขงแล้ว ยังเป็นสโลแกนที่โด่งดังมากในยุคนั้นซึ่งมีสโลแกนว่า “เหล้ากวางทองน้องแม่โขงจะโล่งใจ ทั้งปลอดภัยรสโอชา ราคาเยา” จริงๆ เรื่องการเก็บเหล้ากวางทองในหลายๆ ปีไม่ใช่อุปสรรคนัก เพราะเหล้ากวางทองมีอายุการเก็บรักษาใกล้เคียงกับเหล้าแม่โขงแทบทุกอย่าง แม้แต่รสชาติของเหล้ากวางทองก็ไม่ต่างจากแม่โขงเลยในความรู้สึก แต่เหล้ากวางทองจะมีความแสบคอกว่ากันมาก ทำให้ไม่ค่อยตอบโจทย์กับคนหนุ่มสาวสักเท่าไหร่ แต่มีข้อดีชัดเจนสำหรับใครที่ชอบดื่มเหล้าจะรู้เลยว่าเหล้ากวางทองไม่ค่อยดัดแปลงรสชาติมากนัก แต่เรื่องความหอมให้เหล้ากวางทอง เพราะกลิ่นจะไม่ฟุ้งเท่าแม่โขงเลย นอกจากนี้ยิ่งเก็บนานยิ่งอร่อย…อันนี้น่าจะจริง ยิ่งนำไปผสมโซดาหรือน้ำเปล่าด้วย โอชะของจริงเลยล่ะ เพราะเหล้ากวางทองอาจจะทานแล้วแสบคอบ้าง แต่ดื่มไปนานๆ จะรู้สึกนุ่มคอและความเผ็ดร้อนหายไป แต่ไม่ตอบโจทย์ในปัจจุบันเพราะดีกรีสูงถึง 35-40% ความเมาจะมากกว่า  ถ้า  “เหล้ากวางทอง”  ตีตลาดไทย จะมีความนิยมแค่ไหน  ใจจริงอยากให้เหล้ากวางทองกลับฟื้นคืนชีพอีกครั้ง เพราะขนาดเหล้าแม่โขงที่เป็นเหล้าพี่ยังคืนกลับมา แต่จะต้องดูว่าเหล้ากวางทองจะกลับมาไหม

โดยปกติแล้วเหล้ารัมที่เป็นสูตรคราฟท์มีน้อยมาก เมื่อเทียบกับตลาดสุราระดับโลก แต่ในไทยมีสูตรคราฟท์อย่างเป็นทางการในแบรนด์ “รัมพระยา” ซึ่งเป็นเหล้ารัมสัญชาติไทยกับเครื่องหมายการค้า PHRAYA ที่ทำด้วยความละมุน เป็นรัมทำมือมากกว่าที่จะทำโรงงาน แม้ว่ารัมพระยาจะมีความคล้ายกับเหล้าแสงโสมอย่างมาก แต่รัมพระยาให้ความเข้มและความหอมที่ละมุนอย่างลงตัว จึงมองว่าเป็นสิ่งที่สร้างกระแสได้เยี่ยมเลยทีเดียว เพื่อทำให้รัมพระยาป็นเหล้าที่ติดตลาดและเข้าไปยืนในตลาดโลกอย่างเหล้าแม่โขง ซึ่งเป็นเหล้าที่ได้มาจากชื่อแม่น้ำสายสำคัญของประเทศไทยเหมือนกัน จุดเด่นด้านรสชาติของ  “รัมพระยา”  ดียังไงบ้าง การทำรัมพระยาก็มีความอิงจากประวัติศาสตร์มากพอสมควร ซึ่งแหล่งผลิตอยู่ที่จังหวัดนครปฐม โดยให้เหตุผลว่าที่ต้องตั้งโรงงานผลิตรัมพระยาอยู่ในจังหวัดนั้น เนื่องจากจังหวัดนครปฐมเป็นจังหวัดต้นกำเนิด “อาณาจักรทวารวดี” ซึ่งเป็นอาณาจักรโบราณที่แรกของประเทศไทยในสมัยนั้น การผลิตรัมพระยาจึงอ้างอิงจากภาคกลางของประเทศไทยเข้ามาด้วย เพื่อให้สมกับที่มาของชื่อรัมพระยา ที่ได้มาจากชื่อของแม่น้ำสายหลักที่อยู่ในภาคกลาง แต่เรื่องการผลิตนั้นอยู่ในบริษัทเดียวกับแสงโสมเมื่อปี 2520 จุดเด่นของรัมพระยาอยู่ที่เทคนิคการบ่มอย่างลึกล้ำนี้เกี่ยวข้องกับการบ่มเหล้ารัมในถังไม้โอ๊คที่เก็บไว้ในโกดังที่มีความลึก 4 เมตรซึ่งตั้งอยู่ติดกับทะเลสาบ หวานจากอ้อยซึ่งเป็นวัตถุดิบเป็นหลัก เพราะอ้อยในย่านนั้นที่ใกล้แหล่งผลิตจะมีคุณภาพสูง ความเย็นของสภาพแวดล้อมของทะเลสาบช่วยชะลอกระบวนการเสื่อมสภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เหล้ารัมพระยาสามารถหล่อเลี้ยงและพัฒนาความนุ่มนวลที่โดดเด่นได้ เมื่ออายุการบ่มมากขึ้นหลังจากผ่านไปหลายปี เฉพาะถังที่มีรัมที่ดีที่สุดเท่านั้นที่จะถูกเลือกสำหรับการผสมโดยผู้กลั่นระดับปรมาจารย์ผู้ชำนาญการ ดังนั้นพระยาจึงได้รังสรรค์รัมคุณภาพที่ไม่มีใครเทียบได้ ส่วนรสชาติและสีนั้น อันดับแรกเลยก็คือกลิ่นและสีของรัมพระยาจะเหมือนกับแสงโสมอยู่บ้าง แต่รสชาติของรัมพระยาจะหวานกว่า ถ้า  “รัมพระยา”  ตีตลาดไทย จะมีความนิยมแค่ไหน  สามารถตีตลาดในไทยได้อย่างแน่นอน เพราะรัมพระยาจะผลิตเพื่อให้รู้จักควบคู่กับแสงโสมซึ่งเป็นแบรนด์แม่ ความนิยมจะกลับมาตีตลาดอีกครั้ง รัมพระยาจะตอบโจทย์ในกลุ่มลูกค้าหนุ่มสาวที่ต้องการเพื่อดื่มในงานสังสรรค์ รัมพระยาถือว่าตอบโจทย์และเป็นตัวเลือกที่ดี นอกจากนี้รัมพระยายังได้รางวัล “WORLD RUM AWARDS 2017” การันตีคุณภาพอันยอดเยี่ยมของรัมพระยาอีกด้วย

ถ้าใครได้ดูโฆษณาที่เกี่ยวกับรีเจนซี่ จะรู้เลยว่าโฆษณานี้เหมือนศูนย์รวมคนสวยที่มาร่วมโฆษณาในประเทศไทย ไม่ว่าจะธีมโบราณ ทั้งนางในวรรณคดี ประวัติศาสตร์ (ดินแดนสุวรรณภูมิ) รวมไปถึงธีมธรรมชาติเพื่อนำเสนอธรรมชาติไทยๆ เพื่อเสนอในสายตาชาวโลก แม้ว่าผู้หญิงที่นำเสนอในโฆษณารีเจนซี่จะสวยชนิดที่สะพรึงเมื่อได้เห็นภาพ นึกว่านางฟ้ามาจากที่ไหน นี่แหล่ะจึงเป็นสิ่งที่ทำให้รีเจนซี่เป็นที่รู้จักกันมากขึ้น และยังโด่งดังมากจนถึงปัจจุบัน จุดเด่นด้านรสชาติของ  “รีเจนซี่”  ดียังไงบ้าง ขอข้ามเรื่องความสวยของนางเอกโฆษณาในรีเจนซี่ ต้องบอกก่อนว่าเป็นบรั่นดีไทยที่โด่งดังมากและทำการตลาดมายาวนานต่อเนื่อง ถ้าใครเป็นสาวกตัวยงที่ได้ดื่มรีเจนซี่ จะรู้ทันทีว่ามีทั้งรสองุ่นและสับประรด ถ้าองุ่นจะระบุบนฉลากในรีเจนซี่แล้วมีคำว่า Grape ด้วย ส่วนสับประรดจะระบุฉลากในรีเจนซี่ ว่า Finest เพื่อแยกแยะว่ารีเจนซี่ แต่ละรสชาติมีความต่างกันตรงไหนบ้าง แต่ความหอมความละมุนจะลงตัวมาก เวลาดื่มแทบจะไม่แสบคอเลย แต่ไม่เหมาะกับการดื่มแบบเข้มๆ นัก เพราะว่ารีเจนซี่จะต้องดื่มแบบใส่น้ำแข็งหรือใส่โซดาด้วยจะดีกว่า อีกส่วนหนึ่งที่ทิ้งไม่ได้เลยนั่นก็คือรีเจนซี่มีความสีคล้ายวิสกี้แต่การปรุงแตกต่างกันสิ้นเชิง เพราะวิสกี้ปกติจะทำจากข้าวและมอลต์ แต่รีเจนซี่ ที่เป็นแบบบรั่นดีทำมาจากองุ่นเขียวพันธุ์มะละกา ซึ่งเป็นพันธุ์ที่หวานมาก โดยใช้เวลาหมักบ่มถึง 2-3 ปีโดยประมาณ และยังมีผลไม้อื่นๆ เข้ามา เช่น แอปเปิ้ล แอปริคอท แบล็กเบอร์รี่ พีช แพร์ พลัม และเชอรี่ ซึ่งเป็นผลไม้ที่รสหวาน พอหมักบ่มรวมกันทำให้รสชาติกลมกล่อม ลงตัว ให้เนื้อสีสวย จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมรีเจนซี่

ก่อนเท้าความเรื่องเมฮวาซูต้องบอกก่อนว่าสังคมเกาหลีกับสุรามักคู่กันเสมอไม่ว่าจะหลังเลิกงานหรือหลังมื้ออาหาร แม้กระทั่งเมฮวาซูเช่นกัน ซึ่งเมฮวาซูเป็นเหล้าหวานสไตล์เกาหลีที่ตอบโจทย์กลุ่มผู้หญิงมากอีกแบรนด์ ด้วยความที่เป็นเหล้าที่ทำให้นึกถึงซีรีส์เกาหลีที่มีการเสิร์ฟเมฮวาซูเอยู่บ้าง เลยกลายเป็นไอคอนของเกาหลีอย่างเป็นทางการ เอาล่ะเรามาทำความรู้จักกับเมฮวาซูเกันเถอะว่าทำไมถูกจริตคอแอลในบ้านเรานัก จุดเด่นของเมฮวาซูคืออะไร ทำไมคนถึงนิยมกันมาก ต้องบอกก่อนว่าเมฮวาซูเทำในรูปแบบไวน์รสบ๊วยที่มีกลิ่นหอมแบบฤดูใบไม้ผลิ มีความกลิ่นซากุระเบาๆ ชวนฝันแต่ในส่วนของรสชาติของเมฮวาซูเจะออกไปทางหวาน แต่มีความเปรี้ยวปนมาที่ปลายลิ้น ฟังไปดูเหมือนฟินอยู่ไม่น้อยสำหรับเมฮวาซูเ แต่ส่วนของปริมาณความเมานั้นไม่น้อยหน้า เพราะมันมีระดับแอลกอฮอล์ในเมฮวาซูถึง 14%  แน่นอนว่าตอบโจทย์ในผู้หญิง แต่เวลาดื่มอย่าเพลินเชียว เมาเอาเรื่องอย่างมาก เพราะเมฮวาซูแรงกว่าโซจูรสผลไม้เสียอีก ส่วนรสชาติของเมฮวาซูเจะไปทางรสแอปพริคอต จะมีหวานๆ ชัดกว่าเหล้าแบบอื่นๆ นอกจากนี้เมฮวาซูเหมาะกับการทานในช่วงสังสรรค์มากกว่าที่จะดื่มกันในผับ เพราะมันจะกลับบ้านไม่ถูกกัน 55555 แถมในผับค่อนข้างแพงกว่าในท้องตลาดปกติ ส่วนถ้าใครอยากได้เมฮวาซูไว้ในครอบครอง สามารถหาซื้อได้ในร้านสะดวกซื้อทั่วไทยได้แล้ว ส่วนเรื่องของแพคเกจจิ้งผู้เขียนมองว่ามันสะอาดมาก เพราะแพคเกจจิ้งจะมีความอาร์ตนิดๆ แถมมีความใสของบรรจุภัณฑ์ได้เป็นอย่างดี นี่แหล่ะ…เมฮวาซูเที่ต้องการเลยล่ะ สีสันสวยงามน่าจับต้องมากเลยทีเดียว เมฮวาซูกับความนิยมในไทย เมฮวาซูเเป็นเครื่องดื่มที่นิยมกันต้นๆ ในกลุ่มคนไทยเนื่องจากเมฮวาซูเจะตอบโจทย์หน้าร้อนในประเทศไทยอย่างมาก และนิยมดื่มกันในกลุ่มเพื่อนพ้องมากกว่า เพราะเป็นเครื่องดื่มที่ราคาจับต้องได้ในนักศึกษา และเมฮวาซูเขายดีพอๆ กับโซจูรสผลไม้มากๆ เลยทีเดียว ซึ่งเหล้าเกาหลีรวมถึงเมฮวาซูเแทบไม่ต้องนำเข้าให้วุ่นวายเลย แต่ก็มีรีวิวเหล้าจากคนไทยที่เคยดื่มแนะนำต่อๆ กันมาให้เห็นอยู่เสมอ ซึ่งเมฮวาซูเก็เป็นเหล้าเกาหลีที่มีรีวิวยอดนิยมที่สุดในศักราชนี้ด้วย และมีโอกาสสูงมากที่จะตีตลาดในไทยสูงมากเช่นกัน